วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สถานที่น่าเที่ยวรอบโลก ปี 2012


ปี 2012 นี้ มีหลากสถานจากหลายประเทศซึ่งถูกจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปเยือนซักครั้ง

Mostar, Bosnia

Photo: Mostar bridge at night in Bosnia
สะพานข้ามแม่น้ำ Neretva ในเมือง Mostar ประเทศ Bosnia สะพานซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของชาวเมือง เคยถูกทำลายจนเสียหายในช่วงสงคราม ปี ค.ศ. 1993 แต่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง ด้วยความเก่าแก่ จึงทำให้ Mostar เป็น สถานที่น่าเที่ยว ที่ดึงดูดใจใครหลายคน

Skaftafell National Park, Iceland

Photo: Waterfall in Iceland
ผาน้ำตกอันสูงตระหง่านบวกสวยมหัศจรรย์ สถานที่น่าเที่ยว ของ อุทยานแห่งชาติ Skaftafell ประเทศไอซ์แลนด์

Roussillon, France

Photo: People dining at a restaurant
อันนี้คลาสสิก เรียบง่าย ได้บรรยากาศ แค่มีโอกาสนั่งชิลล์ยามเย็น ทานข้าวนอกบ้านที่ Le Castrum ร้านอาหารในเมือง Roussillon ประเทศฝรั่งเศส แค่นี้ก็สุขล้น

Salmon River, Idaho

Photo: Rafting the Middle Fork of the Salmon River
คนรักการผจญภัย ต้องหาโอกาสไปสัมผัส การล่องแก่งที่ แม่น้ำ Salmon รัฐ Idaho หนึ่งใน สถานที่น่าเที่ยวของอเมริกา

Maya Ruins of Palenque, Mexico

Photo: Tourists at the ruined city of Palenque
พาเลนเคย์ นครเก่าแก่ กว่า 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ของชนเผ่ามายา ประเทศเม็กซิโก หนึ่งใน สถานที่น่าเทีียว และน่าจดจำที่สุดของโลก

Marrakech, Morocco

Photo: A vendor in Marrakech
Marrakech (มาราเคช) ประเทศโมร็อกโก ตลาดที่มีสีสันที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นักท่องเที่ยวมากมายฝันอยากมาที่นี่สักครั้ง เพราะเหมือนได้ย้อนเวลาหาอดีตจริงๆ บ้านเมืองและวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นยังคงเหมือนเดิมเช่นเมื่อพันปีที่แล้ว จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ Marrakech ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก

Southern Tunisia

Photo: A traditional granary in Tunisia
คุ้นๆ มั้ย นี่คือฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Star Wars ตอน The Phantom Menace ความงดงามของสถาปัตยกรรมสมัยศตวรรษที่ 15 ของ Ksar Ouled Soltane ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศตูนีเซีย

Costa Verde, Brazil

Photo: Kayaking in Brazil
ชายหาด Costa Verde ประเทศบราซิล เป็น สถานที่น่าเที่ยว และได้รับความนิยมในการพายเรือคายัคมากที่สุดแห่งหนึ่ง

Salinas Grande, Argentina

Photo: Salinas Grande salt pan in Argentina
ทะเลทรายเกลือ หนึ่งใน สถานที่น่าเที่ยว บวกน่าทึ่ง แห่ง Salinas Grande ประเทศอาร์เจนติน่า

Shwedagon Pagoda, Myanmar

Photo: Temples and the Stupa in Yangon
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า สถานที่เที่ยวแห่งมนต์ขลัง เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น

Yunnan Province, China

Photo: A family harvesting barley in China
มณฑลยูนนาน เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์และคงไว้ซึ่งร่องรอยความเจริญทางวัฒนธรรมของมนุษย์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางด้านธรรมชาติที่สำคัญมากของ ประเทศจีน

Hyderabad, India

Photo: Traffic around the Charminar in Hyderabad
เมือง Hyderabad ประเทศอินเดีย อีกหนึ่งจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยว ในการเดินทางมาสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวอันตื่นตา บวกความงดงามของวัฒนธรรมชนพื้นเมือง

กระเป๋าเดินทางที่"เดิน"ตามคุณได้เอง!!


Hop! เป็นกระเป๋าเดินทางที่ได้รับการออกแบบให้มาพร้อมกับภาครับที่สามารถสื่อสารกับสมาร์ทโฟนของคุณ เพื่อให้มันเคลื่อนที่ติดตามคุณไปทุกหนแห่งด้วยล้อ และส่วนควบคุมทิศทางได้เอง จะเรียกว่าเป็นกระเป๋าเดินทางแบบ "แฮนด์ฟรี" ก็น่าจะถูกต้อง เพราะหากคุณเดินทางด้วย Hop! คุณจะไม่ต้องใช้มือลากกระเป๋าให้เมื่อยอีกต่อไป โดยระบบการทำงานของมันจะติดตามเจ้าของ(ที่พกสมาร์ทโฟนติดตัว)ในระยะห่างคงที่ และหากสัญญาณการเชื่อมต่อระหว่างมือถือกับกระเป๋าถูกตัดขาด จะด้วยเหตุใดก็ตาม กระเป๋าจะล็อคตัวเอง และสมาร์ทโฟนจะสั่น เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทราบ
นอกจากนี้ เจ้าของ Hop! ยังสามารถโปรแกรมให้มันตามคนอื่น หรือควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งคุณผู้อ่านสามารถรับชมความเก่งกาจฉลาดเฉลียวของมันได้จากคลิปวิดีโอข้างล่างนี้ (Hop! จะเดินตามนายเหมือนลูกสุนัขกันเลยทีเดียว) ในส่วนของเทคโนโลยีทีมีการสื่อสารระหว่างภาครับของกระเป๋ากับเจ้าของจะมีเรื่องของการระบุตัวตนของเจ้าของ และสัญญาณจากสมาร์ทโฟนด้วย โดยชิปควบคุมขนาดเล็กจะคอยคำนวณตำแหน่บของกระเป๋ากับระยะห่างของสมาร์ทโฟนตลอดเวลา เพื่อรักษาระยะห่างให้คงที่ แม้ปัจจุบัน Hop! จะยังคงเป็นแค่ต้นแบบของหุ่นยนต์กระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก แต่หากมันได้พัฒนาออกมาจริงๆ คงจะมีรุ่นใหญ่กว่านี้

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แท็บเล็ตที่เล่นด้วย"ตา"แทน"นิ้วสัมผัส"


 ในงาน CEATEC 2012 ยังคงมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ซึ่งมาพร้อมกับผลิตภัณฑ์"แก็ดเจ็ต"ใหม่ๆ อีกมากมาย นอกจากแอพฯ KDDI ที่ให้คุณปลดล็อคสมาร์ทโฟนด้วยการสแกนฝ่ามือแล้ว NTT DoCoMo โอเปอเรเตอร์ และผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายยักษ์ในญี่ปุ่นยังได้นำเสนอ "แท็บเล็ต" ใหม่ที่สามารถควบคุมการใช้งานด้วย "ตา" ของผู้ใช้แทนการใช้นิ้วสัมผัส

ญี่ปุ่นยังคงพยายามพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ไฮเทคตลอดเวลา โดยเฉพาะในอุปกรณ์โมบายที่ยังคงไล่ตาม Apple ในสหรัฐฯ และ Samsung ในเกาหลี แต่ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคในประเทศจะต้องพกพาแก็ดเจ็ตติดตัวมากมายในแต่ละวัน จนบางครั้งเหลือแค่มือเดียวที่จะถือ"แท็บเล็ต"ขึ้นอ่าน ซึ่งแน่นอนว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้มือข้างเดียวที่ถืออุปกรณ์อยู่นี้เลื่อนหน้าจอ หรือพลิกหน้าอีบุ๊กได้ ปัญหานี้ได้ถูกแก้แล้วโดย NTT DoCoMo ที่ในงานนี้ ได้นำต้นแบบ"แท็บเล็ต"ที่ผู้ใช้สามารถควบคุมได้ดวงตาของตนเอง

i beam ฟังก์ชันติดตามด้วยการเพ่งสายตาจะทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุม "แท็บเล็ต" ได้โดยไม่ต้องใช้นิ้วมือสัมผัสหน้าจอแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องใช้มือหนึ่งจับห่วงด้านบนในรถไฟใต้ดิน หรืออีกมือหนึ่งถือประเป๋าอยู่ ซึ่งในงาน Ceatec 2012 ทาง NTT DoCoMo ได้สาธิตการทำงานของ i beam ด้วยการให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการเลื่อนหน้าของเว็บไซต์ หรือเลือกภาพในแกลลอรี่ จุดสีเขียวที่ปรากฎบนหน้าจอจะแสดงตำแหน่งของการเพ่งสายตาของผู้ใช้ไปบนหน้าจอนั่นเอง โดยหากผู้ใช้จ้องที่คำใดคำหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งวินาที ความหมายของศัพท์คำนั้นจะปรากฎขึ้นมา การสัมผัสหน้าจอจะใช้สำหรับซูมให้ใหญ่ขึ้น DoCoMo กล่าวว่า อินเตอร์เฟซนี้สามารถใช้เล่นเกมส์ได้อีกด้วย i beam เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาร่วมกับฟูจิตสึ และโทบี (Tobii) ซึ่งรายหลังเป็นบริษัทเจ้าของเทคโนโลยี eye-tracking หรืออินเตอร์เฟซที่ใช้การติดตามสายตา สำหรับเทคโนโลยีนี้เคยถูกนำไปใช้ในการสาธิตอินเตอร์เฟซการเพ่งด้วยสายตาที่เล่นบน Windows 8 เมื่อต้นปี อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี i beam ยังมีขนาดที่ใหญ่อยู่ เนื่องจากต้องใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเพ่งถึง 2 ตัว

โทรคมนาคมโลก เล็งออกกฎใหม่ คลิกเข้า "เน็ต" ทุกครั้งต้องจ่ายตังค์!?!


เอ็มไทย : มีรายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงปลายปีนี้ (2555) ประเทศสมาชิกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) ราว 180 ประเทศ (รวมไทยที่เป็นสมาชิกร่วมอยู่ด้วย) เตรียมที่จะมีการลงนามสนธิสัญญาการบริหารเครือข่ายโทรคมนาคมของโลก หรืออินเทอร์เน็ต เทเลคอมมูนิเคชั่น เร็กกูเรชั่น เพื่อแก้ไขกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตใหม่ (Internet Telecommunication Regulation : ITR)

โดยการแก้ไขสนธิสัญญาดังกล่าวได้เสนอให้มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต กล่าวคือ เมื่อใดที่มีการคลิกเข้าไปดูเนื้อหา ทั้งผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชมด้วย

ทั้งนี้เมื่อข่าวดังกล่าวได้แพร่สะพัดออกไปก็ทำให้มีนักวิชาการและผู้เกี่ยวข้องจากหลายหน่วยงาน ไม่เห็นด้วยกับมาตราการดังกล่าว และเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องทั้ง กสทช.,ไอซีที ที่มีอำนาจลงนามในสนธิสัญญา ออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าไทยคิดอย่างไร กับเนื้อหาของสนธิสัญญาดังกล่าว ก่อนที่จะมีการลงนามในช่วงเดือนธันวาคมนี้ เพื่อผลประโยชน์ของคนไทยที่จะได้รับสูงสุด

โดยนางสาวดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหาร อินเทอร์เน็ต โซไซตี้ ประเทศไทย (ไอซอก) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิก ที่เป็นองค์กรอิสระซึ่งดูแลเกี่ยวกับมาตรฐานอินเทอร์เน็ตโลก กล่าวว่า หากกลุ่มโทรคมนาคมโลก เห็นพ้องและตกลงเซ็นต์สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวจริง ก็จะทำให้หลายประเทศรวมทั้งไทยเสียประโยชน์ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา และนักเรียน-นักศึกษา ก็จะต้องจ่ายค่าบริการจากการคลิกดูเนื้อหาเพิ่มขึ้น

ขณะที่ ดร.มนู อรดีดลเชษฐ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ (เอทีซีไอ) และนายบุญรักษ์ สรัคคานนท์ กรรมการสมาคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ (เอทีซีไอ) กล่าวว่า หากมาตราการดังกล่าวออกมาจริง จะส่งผลกระทบในประเทศไทยเป็นวงกว้างแน่นอน โดยเฉพาะ นโยบายของรัฐบาลในโครงการแท็บเล็ต ป.1  และจะทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยประมาณ 24ล้านคนต้องหยุดชะงักไปโดยปริยาย 



วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับมอเตอร์ไซค์ที่แพงที่สุดในโลกปี 2012


10. Neiman Marcus Limited Edition Fighter
ประเดิมคันแรกกันที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันของบรรดาบริษัทยานยนต์ ชื่อของมันคือ “Neiman Marcus Limited Edition Fighter” เป็น 2 ล้อสุดเท่ที่สร้างจากเหล็กทั้งคัน พร้อมกับรูปลักษณ์ที่แสนจะโดดเด่นไม่ซ้ำใคร กับค่าตัวที่อาจทำให้ใครหลายคนกระเป๋าฉีกได้สบาย เพราะแค่อันดับที่ 10 ราคาก็ปาเข้าไปที่ 110,000 เหรียญ หรือประมาณ 3,275,800 บาท แล้ว

9. Coventry Eagle Flying – 8 (1928)
สำหรับเจ้า 2 ล้อคันต่อมามีชื่อว่า Coventry Eagle Flying – 8” ผลิตโดย Royal Eagle ใครที่คิดว่าเจ้านี่หน้าตาโบราณ บอกได้เลยว่าไม่แปลก เพราะมันถูกผลิตออกจำหน่ายครั้งแรกตั้งแต่ปี 1928 หรือ 80 กว่าปีมาแล้ว แต่กระนั้นปัจจุบันคุณก็ยังสามารถพบเห็นมันโลดแล่นอยู่บนท้องถนนได้แม้จะไม่บ่อยนัก แถมประวัติศาสตร์ของเจ้า Coventry Eagle ยังถือได้ว่ายิ่งใหญ่ไม่แพ้มอเตอร์ไซค์คันไหนอีกด้วย มีคนดังหลายคนที่มีมันไว้ในครอบครองเป็นไม่ว่าจะเป็น บรูซ สมิธ (Bruce Smith), สตีเวน บรอดบริดจ์ (Stephen Broadbridge), จอห์น เอลลิส (John Ellis) และ เคน ฮอดจ์สัน (Ken Hodgson) ส่วนราคาของมันอยู่ที่ประมาณ 120,000 เหรียญ หรือ 3,573,600 บาท

8. Harley-Davidson Rocker
อันดับ 8 ตกเป็นของ “Harley-Davidson Rocker” จากผู้สร้างขาใหญ่แบรนด์ดังก้องโลกฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน ที่ถูกนำมาปรับแต่งใหม่ตลอดทั้งคันโดยบริษัทปรับแต่งรถชื่อดัง House-of-Thunder ดูจากภาพแล้วแสนจะเข้ากั๊นเข้ากันกับเรือยอร์ชมูลค่า 22 ล้านเหรียญด้านหลัง ขณะที่เจ้า Rocker สีขาวนั้นติดป้ายราคาไว้ที่ 130,000 เหรียญ หรือ 3,871,400 บาท

7. Hildebrand & Wolfmüller
นี่คือมอเตอร์ไซค์เก่าเก็บของแท้เพียงหนึ่งเดียวที่ติดอยู่ในทำเนียบ 10 อันดับสองล้อที่แพงที่สุดในโลก กับอายุที่มากถึง 115 ปี มันคือสุดยอดความพิเศษหนึ่งเดียวจาก Hildebrand & Wolfmüller ต้นกำเนิดที่ทำให้รถ 2 ล้อที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ได้รับการขนานนามว่า“มอเตอร์ไซค์” (Motorcycle) เป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าด้วยประวัติที่เลอเลิศขนาดนี้ ราคาย่อมต้องเลิศเลอไปด้วยกับมูลค่า 150,000 เหรียญ หรือ 4,467,000 บาท เห็นเก่าๆ แพงๆ อย่างนี้อย่าคิดว่าไม่มีใครสนใจ เพราะความหายากและทรงคุณค่าของมันทำให้บรรดานักสะสมรถในอเมริกายอมทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อให้ได้มันมาเป็นส่วนหนึ่งของคอลเล็กชั่นเลยทีเดียว

6. Hub-less Harley-Davidson
คว้ามาได้อีกอันดับสำหรับคัสตอมไบค์สีเขียวสดใสจากค่ายฮาร์เล่ย์ฯ ที่ Howards Killer Customs ลงมือปรับแต่งให้มีความโดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น โดยเฉพาะการติดตั้งล้อแบบ Hub less หรือล้อแบบไม่มีแกน ที่ทำให้เจ้าชอปเปอร์คันนี้ดูแตกต่างจากอันดับอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับราคาที่พุ่งกระฉูดไปถึง 155,000 เหรียญ หรือ 4,620,550 บาท

5. Ecosse FE Ti XX – Titanium Series
"Ecosse FE Ti XX” ไม่ได้มีดีเพียงแค่ราคาแพงแสนแพงถึง 300,000 เหรียญ หรือประมาณ 8,943,000 บาท มากกว่าอันดับ 6 ถึง 2 เท่า เท่านั้น แต่มันยังได้ชื่อว่าเป็นรถที่สวยงามที่สุดคันหนึ่งใน Titanium Series ที่ผลิตโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่าง Ecosse Motor Works อีกด้วย โดยมาพร้อมกับขุมพลังที่น่าพิศวงอย่างเครื่องยนต์อะลูมิเนียมที่ให้กำลังถึง 225 แรงม้า ซึ่งตอนนี้ทางผู้ผลิตเปิดให้ผู้สนใจสามารถสั่งจองได้แล้ว ขณะที่ประเทศจีนได้รับเกียรติให้เป็นผู้เปิดประเดิมสินค้าล็อตแรก

4. Legendary British Vintage Black
สำหรับเจ้า 2 ล้อเครื่อง “Legendary British Vintage Black” สามารถครองอันดับที่ 4 ได้เพราะความพิเศษเพียงหนึ่งเดียวและความเป็นรถโบราณในตัวของมันเอง แม้มันจะไม่ใช่รถที่มีความเร็วมากมายแต่ก็เก่าแก่มากพอที่จะทำให้ค่าตัวของมันสูงถึง 400,000 เหรียญ หรือคิดเป็นเงิน 11,924,000 บาท ทิ้งห่างอันดับ 5 ไปไกลชนิดไม่เห็นฝุ่น

3. Gold-Plated Custom Chopper
เปล่งประกายแวววาวพราวระยับเลยทีเดียว สำหรับอันดับ 3 Gold-Plated Custom Chopper” ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในงาน International Motorcycle Show เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ที่ให้ภาพลักษณ์ความเป็น “มอเตอร์ไซค์โชว์” มากกว่ามอเตอร์ไซค์ที่ขี่เล่นทั่วไปด้วยการชุบทองส่วนที่เป็นโลหะทั้งหมด กับสนนราคา 500,000 เหรียญ หรือราว 14,905,000 บาท แต่เชื่อเถอะว่าหากคุณเป็นเจ้าของก็คงไม่อยากเอาเจ้า “ทองติดล้อ” คันนี้ไปออกไปซิ่งเท่าไหร่หรอก เพราะถ้าหายขึ้นมาคงได้นั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่ๆ

2. Ultra-rare Porcupine
มาที่อันดับ 2 กันบ้าง กับอีกหนึ่งในบรรดามอเตอร์ไซค์ที่ “โคตรหายาก” อย่าง Ultra-rare Porcupine” สองล้อสัญชาติอังกฤษที่ทาง AJS ผลิตขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2โดยเจ้าคันที่เห็นอยู่นี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่ National Motorcycle Museum ในเมืองโคเวนทรี ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ทางพิพิธภัณฑ์กลับปล่อยขายแล้วด้วยค่าตัวราว 750,000 เหรียญ หรือประมาณ 22,357,500 บาท


1. Million Dollar Harley by Jack Armstrong
ในที่สุดก็มาถึงอันดับ 1 ที่ฟังแค่ชื่อก็รู้ว่าแพงแล้วกับเจ้า Million Dollar Harley” จากค่ายบิ๊กเบิ้ม ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน อีกเช่นเคย แถมยังสามารถคว้าตำแหน่ง “มอเตอร์ไซค์คันแรกที่มีราคาทะลุหลักล้าน” มาครองได้อีกด้วย โดยผู้ที่ออกแบบเจ้ารถ “โคตรแพง” นี้ก็คือ แจ็ค อาร์มสตรอง (Jack Armstrong) ผู้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนจากสไตล์งานเพ้นท์ “Cosmic Extensional”  ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับราคา 1 ล้านเหรียญ หรือ 29,810,000 บาท เท่านั้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับ “รถยนต์แพงที่สุด” ประจำปี 2012


นิตยสาร “ฟอร์บส์” เปิดโผรถยนต์ใหม่ป้ายแดงที่มีค่าตัวแพงที่สุดในปี 2012 (พิจารณาจากราคาจำหน่ายมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา)
อันดับที่ 10 พอร์ช 918 สไปเดอร์ (Porsche 918 Spyder)
รถสปอร์ต (ไฮบริด) สายพันธุ์เยอรมันคันนี้ มีราคาจำหน่าย $845,000  (กว่า 26 ล้านบาท) ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.4 ลิตร ขุมพลัง 500 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวที่ให้ขุมพลัง 218 แรงม้า โดยมีอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 3.1 วินาที
อันดับที่ 9 เอสเอสซี ทัวทาร่า (SSC Tuatara)
รถสปอร์ตสัญชาติอเมริกันคันนี้ ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 6.8 ลิตร ให้ขุมพลังเต็มเปี่ยมที่ 1,350 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.5 วินาที  ค่าตัวอยู่ที่ประมาณ  $970,000  (กว่า 30 ล้านบาท)
อันดับที่ 8 เฮนเนสซี่ย์ เวนอม จีที (Hennessey Venom GT)
รถยนต์อเมริกันคันนี้มีค่าตัวราว $1 ล้าน (กว่า 31 ล้านบาท) ใช้เครื่องยนต์ V8 ขุมพลัง 1,200  แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.5 วินาที
อันดับที่ 7 ปากานี่ ไวร่า (Pagani Huayra)
 
รถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์อิตาลีคันนี้มีค่าตัว $1.3 ล้าน (เกือบ 41 ล้านบาท) ใช้เครื่องยนต์ V12 ของเมอร์เซเดส เบนซ์ ที่ให้ขุมพลัง 700 แรงม้า โดยมีอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 3.5 วินาที
อันดับที่ 6 มายบัค แลนเดาเล็ต (Maybach Landaulet)  
 
รถเปิดประทุนสุดหรูจากเยอรมนีคันนี้ มีค่าตัว $1.4 ล้าน (เกือบ 44 ล้านบาท) ใช้เครื่องยนต์ V12 620  แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 5.2 วินาที
อันดับที่ 5 แอสตัน มาร์ติน วัน-77 (Aston Martin One-77 )
 
ซูเปอร์คาร์เมืองผู้ดีคันนี้มีค่าตัวเท่ามายบัค แลนเดาเล็ตที่  $1.4 ล้าน (เกือบ 44 ล้านบาท) โดยมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ขนาด 7.3 ลิตร ที่ให้พลัง 750 แรงม้า และมีอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 3.7  วินาที
อันดับที่ 4 คอนิกเส็กก์ อาเกียร่า อาร์ (Koenigsegg Agera R)
ซูเปอร์คาร์จากประเทศสวีเดนคันนี้ ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ที่มาพร้อมขุมพลัง 1,115 แรงม้า  โดยมีอัตราเร่งตั้งแต่ 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.9  วินาที ค่าตัวอยู่ที่  $1.7 ล้าน (กว่า 53 ล้านบาท) และถ้าอยากได้เวอร์ชั่นคาร์บอนไฟเบอร์ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก  $270,000  (เกือบ 8.5 ล้านบาท) 
อันดับที่ 3 เซนโว เอสที วัน (Zenvo ST1)
รถสปอร์ตสุดหรูจากประเทศเดนมาร์กคันนี้ มีค่าตัวสูงถึงคันละ $1.8 ล้าน (กว่า 56 ล้านบาท) โดยมาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขุมพลัง 1,250 แรงม้า อัตราเร่งตั้งแต่ 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.9  วินาที
 อันดับที่ 2 เฟอร์รารี่ 599 เอ็กซ์เอ็กซ์ (Ferrari 599XX)
สุดยอดรถสปอร์ตสายพันธุ์อิตาลีคันนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ที่ให้ขุมพลัง 700 แรงม้า และมีอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง(0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.9  วินาที ค่าตัวของรถรุ่นนี้ไม่มีการประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการ แต่ลือกันว่าน่าจะมากกว่า $2 ล้าน (มากกว่า 63 ล้านบาท) เห็นค่าตัวแพงขนาดนี้ ขอบอกว่านำมาวิ่งบนท้องถนนไม่ได้ (ต้องซิ่งในสนามแข่งรถเท่านั้น) ที่สำคัญ รถรุ่นนี้ทางเฟอร์รารี่จะจำหน่ายให้กับผู้ที่ได้รับคำเชิญ (ให้ไปซื้อ) เท่านั้น
อันดับที่ 1  บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์สปอร์ต (Bugatti Veyron Supersport) 
สุดยอดรถยนต์จากแดนน้ำหอม “บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์สปอร์ต” มาพร้อมค่าตัวที่สูงถึง  $2.6 ล้าน (กว่า 81 ล้านบาท) รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ W16 ที่ให้ขุมพลังสูงถึง 1,200  แรงม้า และมีอัตราเร่งสูงสุดตั้งแต่ 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.4  วินาที

"แกมี"จ่ออ่าวไทย กรุงอ่วม ระดมรับมือฝนถล่ม

พร่องน้ำรอ-เพิ่มสูบยักษ์อีก นายกสั่งแจ้งเตือน39จว.เสี่ยง อีสานยันใต้-ตกหนักถึง9ตค.


โคราชจม - สภาพน้ำท่วมขังบริเวณถนนท้าวสุระในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา สูงประมาณ 30 ซ.ม. หลังฝนตกหนัก เมื่อวันที่ 6 ต.ค. โดยเทศบาลต้องเร่งระบายน้ำ ก่อนจะเกิดฝนถล่มหนักจากพิษพายุแกมี
"แกมี" ถึงเวียดนามแล้ว จ่อเข้าไทยที่สระแก้ว แถมเปลี่ยนทิศลงอ่าวไทย ส่งผลให้ฝนหนักตั้งแต่อีสานจรดใต้ ปูห่วงนักท่องเที่ยว สั่งแจ้งเตือน 39 จังหวัดเสี่ยง กำชับศูนย์เฝ้าระวังทำงาน 24 ชั่วโมง "รอยล"ระบุฝนปีนี้ยาวถึงสิ้นต.ค. แต่เขื่อนยังรับน้ำได้เยอะ เหตุไม่มีน้ำเหนือ แถมน้ำในเจ้าพระยายังไม่มาก "ปลอด" เรียกประชุมผู้ว่าฯ จังหวัดฝั่งอ่าวไทย รับมือพายุเปลี่ยนทิศลงใต้ กทม.เตรียมพร้อม พร่องน้ำรอ ติดเรือดันน้ำไล่ลงทะเลให้เร็วสุด สั่งติดเครื่องสูบยักษ์ แก้ปัญหาน้ำท่วมถนน 



ระวัง"แกมี"วกลงอ่าวไทย

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 6 ต.ค. ในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน นายรอยล จิตรดอน กรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) นายสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ผอ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน ร่วมชี้แจงสถานการณ์ล่าสุดของพายุแกมี และการเตรียมพร้อมรับมือ



นายรอยลกล่าวว่า พายุแกมีที่กำลังเคลื่อนเข้าประเทศเวียดนาม เป็นพายุโซนร้อนกำลังค่อนข้างแรง แต่จะเริ่มสลายตัวเมื่อเข้าสู่ประเทศลาว จากนั้นจะเคลื่อนที่เข้าประเทศไทย แถบจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา สิ่งที่น่ากังวลคือ หลังจากนั้นพายุลูกนี้จะวกลงอ่าวไทย ทำให้ช่วงวันที่ 8-9 ต.ค. เกิดฝนตกหนักแถบจังหวัดจันทบุรี ระยอง ชลบุรี และกรุงเทพฯ ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือพายุลูกนี้จะถูกดูดด้วยหย่อมความกดอากาศต่ำในมหาสมุทรอินเดีย ทำให้วิ่งเร็วและแรงขึ้น แล้วจะผ่านจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี ช่วงวันที่ 9-10 ต.ค. นี้

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ที่สุดของถนนในโลก


ถนนที่สั้นที่สุดในโลก (Ebenezer Place – สกอตแลนด์)
ถนนที่ Ebenezer เมือง Wick รัฐ Caithness ของสกอตแลนด์ ซึ่งกินเนสบุ๊คได้บันทึกไว้ว่าเป็นถนนที่สั้นที่สุดในโลก มีความยาวเพียง 2.06 เมตร ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประตู No. 1 Bistro ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม Mackays เจ้าของตึกและโรงแรมในตอนนั้นได้สร้างและเขียนชื่อลงบนด้านที่เล็กที่สุดของโรงแรมจนได้รับการรับรองว่าเป็นถนนในปี 1887

ถนนที่แคบที่สุดในโลก (Spreuerhofstraße – เยอรมัน)
Spreuerhofstraße เป็นถนนที่แคบที่สุดในโลกยู่อในเมือง Reutlingen ประเทศเยอรมัน มีความกว่าง 31 เซนติเมตร ส่วนที่กว่างที่สุดเพียง 51 เซนติเมตร เส้นทางสายนี้สร้างในปี 1727 ในช่วงการปรับปรุงพื้นที่ที่ถูกทำลายจากไฟป่าในปี 1726 และได้จดบันนทึกเป็น City Street Number 77

ถนนที่ชันที่สุดในโลก (Baldwin Street – นิวซีแลนด์)
ถนน Baldwin อยู่ในเมือง Dunedin ทางใต้ของนิวซีแลนด์ มีความยาว 350 เมตร เป็นถนนที่ตัดผ่านจากหมูบ้าน Lindsay Creek ทางตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นไปบนภูเขา Signal โดยระยะทางทุกๆ 2.86 เมตร ความสูงจะเพิ่มขึ้น 1 เมตร

ถนนที่โค้งมากที่สุดในโลก (Lombard St – ซานฟรานซิสโก)
ถนน Lombard ถือเป็นถนนที่โค้งมากที่สุดในโลกเป็นส่วนหนึ่งของถนน Lombard ช่วงที่มีโค้งมากที่สุดคือช่วงบน Russian Hill ระหว่างถนน Hyde และ Leavenworth ซึ่งจะมีการกำหนดความเร็วในการขับรถและขับเป็นทางเดียว

ถนนที่สลับซับซ้อนน่าสับสนที่สุด (Judge Harry Pregerson Interchange – ลอสแอนเจลิส)
หนึ่งในเส้นทางที่ชวนให้งงที่สุดในสหรัฐอเมริกา เปิดในปี 1993 มีทั้งหมด 4 ระดับ และการใช้ในแต่ละเลนอย่างเข้มงวด

ทางหลวงที่ยาวที่สุด (Highway 1 – ออสเตรเลีย)
เป็นทางทะลวงที่เชื่อมต่อทวีปออสเตรเลีย เชื่อมต่อกับรัฐทั้งหมด มีความยาว 14,500 กิโลเมตร

วงเวียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Putrajaya – มาเลเซีย)
มีคนไม่มากที่จะนึกถึงเมื่อขับรถรอบ Putrajaya ว่านี่คือวงเวียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเส้นรอบวงประมาณ 3.4 กิโลเมตร

ถนนที่กว้างที่สุดของโลก (9 de Julio – บัวโนสไอเรส, อาร์เจนติน่า)
วันที่ 9 กรกฎาคม 1816 เป็นวันประกาศอิสรภาพอย่างเป็นทางการของอาร์เจนติน่า จึงได้ตั้งชื่อถนนสายหลักของอาร์เจนติน่าว่า 9 de Julio แต่ไม่เพียงแค่ถนน 9 เลนเท่านั้น ยังมีสวนอยู่ตรงกลางระหว่างการจราจรแต่ละด้าน ถือเป็นถนนที่กว้างที่สุดในโลก

วงเวียนที่น่าสับสนที่สุดในโลก (Magic Roundabout – Swindon, อังกฤษ)
สร้างในปี 1972 ที่ประกอบด้วย 5 วงเวียนย่อย ชื่อวงเวียนได้มาจากซี่รี่ย์สำหรับเด็กที่มีชื่อเสียง The Magic Roundabout และเคยได้รับการโหวดว่าเป็ที่ที่น่ากลัวที่สุดอันดับที่ 4 ของอังกฤษ

แปลโดย HyperDolly@MundoYo
ที่มา http://www.oddee.com/item_97252.aspx

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยอดผู้ใช้ เฟซบุ๊ก ทะลุ 1 พันล้านแล้ว!


การอัพเดทจำนวนผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กที่มีจุดเริ่มต้นจากหอพักในมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2004 ครั้งล่าสุดถูกประกาศโดยผู้ก่อตั้ง และซีอีโอของเว็บไซต์ผ่านทาง status ล่าสุดเมื่อวานนี้ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก "เช้านี้ เรามีผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านรายที่กำลังใช้เฟซบุ๊กในแต่ละเดือน ถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ ขอขอบคุณที่ให้ผม และทีมงานเล็กๆ ได้ให้บริการพวกคุณด้วยความจริงใจ การช่วยให้ผู้ใช้ 1 พันล้านคนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมภูมิใจมากที่สุดในชีวิต ผมสัญญาที่จะทำงานทุกวัน เพื่อทำให้เฟซบุ๊กสามารถให้บริการที่ดีขึ้นกับคุณทุกคน และหวังว่า สักวันหนึ่งเราจะสามารถเชื่อมต่อส่วนที่เหลือของผู้ใช้ในโลกนี้อีกด้วย"
อย่างไรก็ตาม ทีมงานของเฟซบุ๊กกล่าวว่า ตัวเลข 1 พันล้านคนเป็นการประมาณการ ไม่ใช่บัญชีผู้ใช้จริงทั้งหมด นอกจากหลักไมล์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ทะลุ 1 พันล้านรายแล้ว ข้อมูลที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับผู้ใช้ก็คือ ในจำนวนนี้มีผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กบนสมาร์ทโฟนมากถึง 600 ล้านราย (ประมาณ 60% ของผู้ใช้ทั้งหมด) ซึ่งตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มไม่แน่ใจในความสามารถของธุรกิจที่ตั้งเป้าจะหารายได้จากการขายโฆษณาบนสมาร์ทโฟนแทนบนเดสก์ทอป หรือโน้ตบุ๊ก โดยมูลค่าหุ้นจากราคาขายในวันที่เปิด IPO อยู่ที่ 38 เหรียญฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม ล่าสุดราคาของมันหล่นลงมาอยู่ที่ 21.83 เหรียญฯ เมื่อวันที 3 ตุลาคม ทีผ่านมา
ข้อมูลเพิ่มเติมนอกจากสถิติข้างต้นเกี่ยวกับเฟซบุ๊กก็ยังมีอายุเฉลี่ยของผู้ใช้ที่ลดลงมาเป็น 22 ปีจากเดิม 23 ปีตอนที่เฟซบุ๊กทะลุ 500 ล้านรายในปี 2010 ซึ่งก็ลดลงจากอายุเฉลี่ย 26 ปีเมื่อครั้งที่เฟซบุ๊กมีผู้ใช้ 100 ล้านรายในปี 2008 โดยในส่วนของภาพต่างๆ ที่ผู้ใช้อัพโหลดขึ้นไปเผยแพร่ผ่านบริการมีอยู่มากถึง 219 พันล้าน ทั้งนี้ผู้ใช้เฟซบุ๊กประมาณ 81% มาจากนอกสหรัฐฯ และแคนาดา