วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

7 ความจริงบน Facebook


Pete Cashmore ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเว็บล็อคข่าวไอทียอดฮิตอย่าง Mashable ซึ่งรับหน้าที่เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับเครือข่ายสังคมและเทคโนโลยีให้ CNN.com ลงมือรวบรวมผลการสำรวจพฤติกรรมชาวเครือข่ายสังคมเพื่อประมวลเป็น "10 ความจริงน่าทึ่งของผู้ใช้เฟซบุ๊ก" ที่แม้จะเป็นการทำสำรวจในสังคมอเมริกัน แต่บางข้อก็พบได้บ่อยในสังคมไทยเช่นกัน
      
       
ตัวอย่างบางส่วนใน 10 ผลการสำรวจน่าสนใจที่ Cashmore ยกมาพูดถึงคือ 47% เคยโพสต์คำสบถแสดงอารมณ์บนหน้าเพจเฟซบุ๊ก ขณะที่ชาวเฟซบุ๊กดีกรีปริญญาซึ่งพูดคุยเรื่องเหล้ายาปลาปิ้งจะมีแนวโน้มมีเพื่อนมากกว่าคนที่ไม่พูดถึงแอลกอฮอล์บนเฟซบุ๊ก และชาวเฟซบุ๊ก 48% เข้าไปดูโปรไฟล์ของแฟนเก่าบ่อยครั้ง 
1. เจ้านายและลูกน้องไม่ควรเป็นเพื่อนกันบนเฟซบุ๊ก
      
       
การสำรวจชาวอเมริกันกว่า 1,000 คนในโครงการ Responsibility Project ของกลุ่ม Liberty Mutual ในเดือนกุมภาพันธ์ 2010 พบว่าคอเฟซบุ๊กอเมริกันมากกว่าครึ่งคิดว่าเจ้านายและลูกน้องไม่ควรเป็นเพื่อนกันบนเฟซบุ๊ก แม้ว่าชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวันของคนไอทีจะคาบเกี่ยวกันมากขึ้น แต่คนไอทีก็ยังมองว่าควรมีเส้นแบ่งให้ชัดเจน และเจ้านายควรวางตัวให้ดีเพื่อจะได้ตัดสินพนักงานที่ความสามารถแท้จริงมากกว่าความสัมพันธ์ส่วนบุคคล โดย 62% มองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมหากเจ้านายตอบรับเป็นเพื่อนกับลูกน้องบนเฟซบุ๊ก
      
       
2. ลิงก์เว็บไซต์ลามกถูกแชร์บนเฟซบุ๊กมากกว่าปกติถึง 90%
      
       
ความจริงข้อนี้ได้จากการศึกษาของ Dan Zarrella ผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายสังคมซึ่งพบว่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมปี 2010 ในบรรดาลิงก์เว็บไซต์ข่าวและบล็อกกว่า 12,000 ลิงก์ที่เขาศึกษา ปรากฏว่าลิงก์เว็บไซต์สยิวถูกแชร์หรือแบ่งปันในเฟซบุ๊กมากกว่าค่ามาตรฐานถึง 90% โดยลิงก์ที่มีหัวเรื่องในแง่บวกจะถูกแชร์มากกว่าหัวเรื่องด้านลบ
      
       
3. คนมีคู่บนเฟซบุ๊กมีความสุขมากกว่าคนโสด
      
       
เดือนกุมภาพันธ์ 2010 เฟซบุ๊กใช้วันวาเลนไทน์เป็นวันเปรียบเทียบสถานะความสัมพันธ์หรือrelationship status กับความสุขของผู้ใช้แต่ละคน ปรากฏว่าคนที่ตั้งสถานะว่า "in relationships" หรือ"กำลังเริ่มความสัมพันธ์นั้นโพสต์ข้อความแสดงอารมณ์เชิงบวกมากกว่าคนที่มีสถานะ "Single"ทำให้แปลได้ว่าคนมีคู่บนเฟซบุ๊กนั้นมีความสุขมากกว่าคนโสด และคนที่แต่งงานแล้ว (married)หรือหมั้นหมายแล้ว (engaged) จะมีดีกรีความสุขมากกว่ากลุ่ม"เพิ่งเริ่มคบหาที่น่าสนใจคือกลุ่มที่ตั้งสถานะว่า "open relationship" หรือที่แปลว่ายังไม่ผูกสมัครรักใครเป็นตัวตน กลับมีความสุขน้อยกว่าคนโสด

4. 21% บอกเลิกผ่านเฟซบุ๊ก
      
       
การสำรวจในเดือนมิถุนายนปี 2010 ในกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊ก 1,000 คน (70% เป็นชายพบว่ากว่า25% เคยถูกทิ้งทางเฟซบุ๊ก โดยส่วนใหญ่ถูกทำร้ายจิตใจด้วยการเปลี่ยนสถานะเป็น "โสดของคนรัก การสำรวจครั้งนั้นพบว่า 21% ของกลุ่มตัวอย่างเลือกที่จะตัดสัมพันธ์ด้วยการเปลี่ยนสถานะ ซึ่งโชคยังดีเมื่อพบว่าส่วนใหญ่เป็นการเลิกราธรรมดา ไม่ใช่การหย่าร้างของคู่สามีภรรยา
      
       
ยังมีการสำรวจอีกชิ้นที่พบว่า ผู้หญิงตกที่นั่งถูกตัดเยื้อใยผ่านเฟซบุ๊กน้อยกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงมีสถิติที่ 9% เทียบกับฝ่ายชายที่มีสัดส่วนถึง 24%
      
       
5. 85% ของผู้หญิงถูกเพื่อนในเฟซบุ๊ก"รำคาญ"
      
       
การสำรวจของกลุ่ม Eversave ซึ่งถูกเปิดเผยในเดือนมีนาคม พบว่าชาวเฟซบุ๊กหญิงกว่า 85%ยอมรับว่าเคยถูกเพื่อนบนเฟซบุ๊กรำคาญเคืองใจ โดยส่วนใหญ่บอกว่าถูกรำคาญด้วยข้อหา"บ่นตลอดเวลา" (63%) บางคนโดนข้อหา "พูดเรื่องการเมืองไม่พึงประสงค์" (42%) และ "คุยโวเกี่ยวกับชีวิตสมบูรณ์แบบ" (32%)
      
       
6. ครอบครัวเฟซบุ๊ก 25% ไม่ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
      
       
เดือนมิถุนายนปี 2010 การสำรวจโดยนิตยสาร Consumer Reports พบว่า ใน ของครัวเรือนที่มีชื่อบัญชีใช้งานเฟซบุ๊กยังไม่ทราบหรือไม่ลงมือตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในเฟซบุ๊ก โดย 26% ของครอบครัวที่มีเด็ก มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เด็กมีความเสี่ยงตกอยู่ในอันตราย โดยเฉพาะภัยลักพาตัว ด้วยการโพสต์ภาพและชื่อของเด็กลงไป ซึ่งจะสามารถเปิดโอกาสให้โจรร้ายสามารถรู้ข้อมูลของเด็กได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
      
       
7. พ่อแม่ 48% เป็นเพื่อนกับลูกบนเฟซบุ๊ก
      
       
ข้อนี้ในเมืองไทยก็เห็นได้มาก โดยการสำรวจช่วงพฤษภาคม 2010 โดย Retrevo พบว่าพ่อแม่เกือบครึ่งที่ขอเป็นเพื่อนกับลูกในเครือข่ายสังคม ซึ่งเมื่อพ่อแม่กลุ่มตัวอย่างถูกถามว่า จะยินยอมให้ลูกลงชื่อใช้งานเฟซบุ๊กหรือเครือข่ายสังคมอื่นได้อายุเท่าใด ราว 26% ระบุว่าต้องรอให้มากกว่า 18ปี โดย 36% บอกว่า 16-18 ปี อีก 30% บอกว่า 13-15 ปี เพียง 8% เท่านั้นที่บอกว่าต่ำกว่า 13 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น